เคล็ดลับการเที่ยวปารีสด้วยตัวเองแบบชิลๆ

ด้วยค่าครองชีพที่สูงลิ่วของปารีส ไม่ว่าอะไรก็ดูจะแพงไปหมด แต่กระนั้นก็ยังทำให้ปารีสเป็นเมืองในฝันของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก  มีนักแบ็กแพ็กเกอร์หลายคนได้แต่ฝันค้าง และอยากไปเยือนเมืองสุดโรแมนติกแห่งนี้ แต่อาจจะต้องรอมีโอกาสสักที  ซึ่งปารีสถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก  เพราะถูกขนานนามว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกในอันดับต้น ๆ แห่งหนึ่งของโลก  ใครที่เดินทางเที่ยวแบบแบ็คแพ็คคนเดียว ไม่ว่าจะขึ้นรถไฟ ลงเรือเที่ยว สามารถเดินทางได้ตลอด เพียงแต่ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี ซึ่งความจริงแล้วการเที่ยวปารีสแบบสุดประหยัดมันก็มีหนทางอยู่บ้าง…

ใช้วิธีเดินดีกว่า..ได้ชมวิวด้วย

ขอบอกก่อนว่าใครที่อยากประหยัดจริงๆ และไม่บ่นที่จะต้องใช้วิธี Walk Tour เรียกกว่าเดินวันหนึ่งเกินกว่า 10 ก.ม. เพื่อเก็บภาพและข้อมูลในช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่าที่พอเป็นไปได้  ซึ่งการเดินเป็นวิธีที่จะสัมผัสปารีสได้ใกล้ชิดที่สุด นอกจากจะประหยัดค่ารถควบคู่ไปกับการได้ยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายแล้ว  คุณยังได้ชมวิวสวยๆ ของเมืองสุดโรแมนติกแบบเต็มสองตา หรืออาจจะได้ค้นพบมุมใหม่ๆ ที่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาสำรวจด้วย

การท่องเที่ยวปารีสด้วยตัวเอง

การเลือกซื้อตั๋วรถไฟแบบประหยัด

ถ้าคุณตัดสินใจเช่ารถยนต์ที่สนามบิน หรือมีคนมารับก็ว่าไม่เท่าไหร่ แต่หากต้องเดินทางไป-กลับสนามบินด้วยตัวเอง  คงต้องพึ่งรถไฟสาย RER-B แล้วล่ะ รถไฟใต้ดินที่ใช้เดินทางภายในใจกลางกรุงปารีส  เรียกว่า Metro เป็นตั๋วราคาเดียวตลอดสาย คือ 1.70 ยูโร/เที่ยว  หากต้องการซื้อแบบเหมาทีละ 10 เที่ยว ราคาจะถูกลง และที่นี่มีขายตั๋วแบบ 1-5 day Pass ด้วยนะ แต่อาจจะไม่คุ้มนะ เพราะต้องนั่งรถไฟเฉลี่ยประมาณ 8 เที่ยว/วันขึ้นไปจึงจะคุ้ม ถ้าจะซื้อตั๋วไปหรือกลับจากสนามบิน ค่าโดยสารของ RER-B คือ 9.5 ยูโร/เที่ยว แต่หากจะนั่งต่อไปถึง Paris Center ให้ซื้อตั๋วแบบ combined เพิ่มเงินเพียง 0.25 ยูโรเท่านั้น รวมเบ็ดเสร็จแล้ว 9.75 ยูโร ก็จะประหยัดไปตั้ง 1.45 ยูโร

สถานีสำคัญๆ ที่คุณควรจะจำไว้เมื่อเดินทางไปไหนมาไหนในปารีสคือ Charles de Gaulle (RER-B สถานีปลายทางไปสนามบิน) , Charles de Gaulle Étoile (ชื่อสถานีนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสนามบินใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นสถานีที่อยู่ใกล้กับสถานที่สำคัญคือประตูชัย) Châtelet หรือ Les Halles (เป็นสถานีเชื่อมต่อเพื่อไปสนามบิน) ,Gare de Lyon (ชื่อเหมือนเมืองลียงแต่อยู่ที่กรุงปารีส เป็นสถานีรถไฟความเร็วสูง TGV Train ออกเดินทางเพื่อไปเมืองลียง) ในการคำนวณระยะเวลาในการเดินทางของแต่ละทริป สถานีใน Paris Center จะห่างกันประมาณ 2 นาทีเว้นแต่จะเป็นสถานีเชื่อมต่อ อาจต้องเผื่อเวลาเพิ่มเติมสำหรับการเดินเพื่อเปลี่ยนสาย 

การแลกเหรียญผ่านตู้เอทีเอ็ม

เมื่อมาถึง ฝรั่งเศสพยายามทำตัวคุ้นเคยกับระบบขนส่งสาธารณะ  ตั๋วสารพัดชนิดสามารถซื้อได้ผ่านตู้ Vending Machine โดยสามารถชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือเงินสดก็ได้ ถ้าจะซื้อตั๋วเป็นแบบเที่ยวเดียวแนะนำให้เก็บแบงค์ย่อยหรือพกเหรียญติดตัวไว้บ้าง  เพราะที่ฝรั่งเศสการจะเอาธนบัตรใบใหญ่มาแลกเป็นแบงค์ย่อยหรือเหรียญนี่เป็นเรื่องที่ลำบากมาก เวลาซื้อของตามร้าน ถ้าเราเอาแบงค์ 500 ยูโรออกมา  ( เงินไทยประมาณ 20,000 กว่าบาท) ทุกคนจะถอยกันหมด เดินเข้าธนาคารพนักงานก็ส่ายหน้าก็ไม่รับแลก เพราะธุรกรรมต่างๆ ต้องทำผ่านตู้เอทีเอ็มเท่านั้น

เข้าพิพิธภัณฑ์ฟรี

ถ้าใครเป็นคนชอบเดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์ แนะนำให้ซื้อมิวเซียมพาส (Museum Pass) มีให้เลือก 3 แบบคือ 2 วัน 48 ยูโร / 4 วัน 62 ยูโร / 6 วัน74 ยูโร (ราคาปี 2016)  มันคุ้มมาก ถือใบเดียวเข้าชมได้ถึง 50 กว่าพิพิธภัณฑ์และอนุสาวรีย์ต่างๆ ทั่วปารีส แต่ถ้าราคาพาสยังประหยัดไม่พอ แนะนำว่าพยายามแพลนทริปให้ตรงกับวันอาทิตย์แรกของเดือน  เพราะมีพิพิธภัณฑ์จำนวนมากเปิดให้เข้าชมฟรี อย่างลูฟวร์ (Musée du Louvre) แต่ขอบอกว่าคนแน่นมากควรรีบไปต่อคิวแต่หัววัน

วิธีอิ่มท้องแบบประหยัด

อาหารฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกมายาวนาน อีกทั้งยังได้รับการปรับปรุงและดัดแปลง พัฒนาให้ดีขึ้นอยู่เสมอโดยเชฟหน้าใหม่ไฟแรง ทำให้ที่นี่จึงกลายเป็นสวรรค์ของนักชิมอย่างไร้ข้อกังขา แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่ายแพงมิใช่น้อย ทางเลือกทางรอดของนักเดินทางแบบประหยัด ก็คือการเลือกอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตนี่แหละ  ไส้กรอก ขนมปัง แครกเกอร์ ผลไม้  แม้รสชาติจะไม่สำราญลิ้น แต่ห่อไปนั่งกินริมแม่น้ำแซนเก๋ๆ ก็นับว่ารื่นรมย์พอใช้ได้ หรือจะไปช้อปปิ้งอาหารง่ายๆ ตามตลาดนัดมากินก็ได้ ส่วนน้ำเปล่าก็สามารถดื่มจากก๊อกได้ 

อาหารต้นตำรับราคาเบาๆ  

มาถึงเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมอาหารการกินทั้งที จะไม่ลองชิมอาหารต้นตำรับเลยก็กระไรอยู่ ในส่วนของอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแท้ๆ ราคาไม่แรงจนกระอักเลือด แนะนำร้าน Bouillon Chartier ค่ะ ตั้งอยู่ที่ 7 ถนน rue du Faubourg Montmartre เปิดทุกวันตั้งแต่ 11.30 น. ถึงเที่ยงคืน  เมนูเรียกน้ำย่อยอย่างสลัด ราคา 1.80 – 6.80 ยูโร จานหลัก ราคา 8.50 – 13.50 ยูโร และของหวาน ราคา 2.20 – 4 ยูโร  ไม่ควรพลาด ‘เอสคาโก’ (Escargots) หอยทากอบเนยกระเทียมสับผสมเครื่องเทศหอมๆ ลองแล้วจะติดใจ และเมนูเป็ดกงฟีต์หนังบางกรุบกรอบเนื้อในชุ่มฉ่ำเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งลูกเล็กๆ (Confit de canard pommes grenailles)

ปิดท้ายกับการเที่ยวแบบชิล ๆ ที่หอไฟไอเฟล

มาปารีสทั้งทีก็ไม่ควรพลาดกับหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก อย่างหอไอเฟล ซึ่งมีพลังแม่เหล็กดึงดูดมหาศาล  ทำให้แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาถ่ายภาพตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  ทุกวันจะมีคนถ่ายรูปหอไอเฟลกันทุกมุม และทุกอิริยาบท  ประมาณราวๆ 4 ทุ่มกว่าจะมีการเล่นไฟกระพริบด้วย  สำหรับคนที่อยากไปสัมผัสบรรยากาศด้านบนหอคอยแห่งนี้ มีเรทราคาตั้งแต่ 5 ยูโร (สำหรับการเดินขึ้นบันไดถึงชั้น 2) 9 ยูโร (สำหรับการขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้น 2) และ 15 ยูโร (สำหรับการขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นบนสุด)